๒. ด้านอุตสาหกรรมและหัตถกรรม
สำหรับด้านอุตสาหกรรมและหัตถกรรม
ชาวอำเภอห้วยผึ้ง มีภูมิปัญญาด้านนี้หลายประเภท เช่น
การทอผ้า การย้อมผ้าคราม การทำผ้าห่ม การทำหมอนลายขิด การทำผ้าข้าวม้า
การทอผ้าไหมบ้าน การทอผ้าถุงลายต่าง ๆ รุ่นย่า ยาย รุ่นแม่ ของข้าเจ้า ทำได้
แต่รุ่นข้าพเจ้าทำไม่ได้
ข้าพเจ้าเคยเห็นมาหมดทุกอย่างที่พูดมาเพราะเป็นวิถีชีวิตของชาวชนบท ตอนที่เป็นเด็ก
ที่ประทับใจคือผ้าถุงลายช้าง หมอนขิดลายสวย ๆ ผ้าไหมที่เป็นผ้าถุงลวดลายต่างๆ
เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ถูกถ่ายทอดมา แต่ปัจจุบันภูมิปัญญาเหล่านั้นกำลังจะหมดไป ปัจจุบันมีให้ดูได้ที่บ้านคำบงและบ้านหนองอีบุตรในการย้อมครามผ้า
แต่ก่อนต้นครามมักมีแมงกวงไปจับเยอะมาก (ภาคเหนือใช้แมงกวงชนกัน พนันกัน
เป็นเกมกีฬาชนิดหนึ่ง) ภาคอีสานเก็บมาคั่วกิน หรือทอดกินค่ะ และด้านหัตถกรรม
ก็มีอยู่ เช่นการทอเสื่อจากต้นกก คือต้นกก
มีทั้งชนิดที่อยู่ในน้ำและที่อยู่บนบก
เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีแล้วแต่วัตถุดิบ
เช่นบ้านที่อยู่ใกล้หนองน้ำก็พากันทอเสื่อกกไว้ใช้หลังฤดูการเก็บเกี่ยว
ส่วนบ้านที่อยู่โนน หรือที่สูงก็ปลูกต้นกกไว้ทอเสื่อใช้ไม่ต้องซื้อหา
หรือเอาไว้เป็นของฝากให้กับญาติ พี่น้อง
และสานกระติบข้าวด้วยคล้า สานกระติบข้าวด้วยด้าย สานกระติบข้าวด้วยไม้ไผ่
สานกระด้ง สานกระบุง
สานตะกร้า ทำไม้มือเสือ ทำไม้กวาดจากต้นออ สานแห่ สานสวิง สานไซ สานข้อง ไพหญ้าคา สานหวดนุ่งข้าว
ฯลฯ เป็นข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน
เป็นเครื่องมือที่ใช้ทำมาหากิน เป็นส่วนใหญ่ ใช้วิถีชีวิตแบบเรียบง่าย
และมีภูมิปัญญาด้านที่กล่าวมาบางส่วนนำมาแสดงให้ดูค่ะ
ภูมิปัญญาการย้อมผ้าสีคราม
( ย้อมหม้อนีล )
สีคราม
เป็นสีจากธรรมชาติที่ได้จากภูมิปัญญาที่มนุษย์รู้จักมานานกว่า ๒,๐๐๐
ปีมาแล้ว โดยการนำพืชชนิดหนึ่ง
ที่มีชื่อว่า ต้นคราม
ซึ่งเป็นพืชล้มลุก สูง ประมาณ ๑- ๑.๒๐
เมตร มีอายุประมาณ
๒- ๓ ปี ใบแบบขนนก ดอกสีเหลือง
ฝักคล้ายฝักถั่วเขียว แต่เล็กกว่า ออกดอกเป็นกระจุก
สีครามได้จาก
การนำส่วนของต้นคราม มาหมักแช่น้ำให้เน่าเปื่อย
แล้วแยกเอาส่วนของเนื้อสีออกมา แล้วนำมาทำให้ตกตะกอนโดยการเติมปูนขาว
พอตกตะกอนจึงแยกส่วนที่เป็นน้ำออกจะได้เนื้อครามเป็นตะกอนข้น เหนียวเหมือน โคลน
การย้อมผ้าคราม
จะนำเนื้อครามที่ได้มาผสม น้ำด่าง ก็คือ น้ำที่ได้จากการแช่
ผงถ่านไม้ที่มีฤทธิ์เป็นเบส ( ด่าง) เช่น
ไม้เปลือกนุ่น ( ไม้งิ้ว ของคนอีสาน )
ต้นกล้วย และผสมส่วนประกอบต่าง ๆ
ตามสูตรหรือวิธีการของแต่ละบุคคล
แล้วกวนหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “โยกคราม”
ให้โดนอากาศแล้วทิ้งไว้ให้เนื้อครามเปลี่ยนสี จากสีน้ำเงินเป็นสีเหลืองอมเขียว
จึงย้อมโดยการนำผ้าฝ้าย ที่ซุบย้ำพอหมาด ๆลงย้อม ผ้าจะค่อย ๆ เปลี่ยนสีจากขาว เป็น
เหลือง และเป็นสีน้ำเงินเข้มในที่สุดที่เราเรียกว่า “สีคราม”
ภูมิปัญญาการทอผ้า
ประเทศไทยเป็นดินแดนที่มีมนุษย์อยู่อาศัยมานานนับเป็นหมื่น
ๆ ปีแล้ว ตั้งแต่ยุคประวัติศาสตร์ ไทยเป็นต้นมา
มนุษย์รู้จักการทอผ้าใช้เองจนกระทั่งปัจจุบัน การทอผ้ายังคงเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ยังถือปฏิบัติสืบต่อกันมา
การทอผ้าพื้นเมืองของชาวอีสาน
จะมีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละชุมชน กว่าจะมาเป็นผืนผ้าจะต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน โดยเริ่มจากวัตถุดิบที่ใช้ทอก็คือ ฝ้าย
ฝ้าย
เป็นพืชเศรษฐกิจชนิดหนึ่งที่เจริญเติบโตในบริเวณที่มีอากาศร้อน ชอบดินเหนียวปนทราย
อากาศโปร่ง มีอายุประมาณ ๖-๗
เดือน การเก็บเกี่ยวจะเก็บดอกฝ้าย แล้วนำมาผึ่งแดดให้แห้งสนิท
จากนั้นก็นำไปแยกเมล็ดออกจากปุยฝ้าย โดยการนำไปอิ้วที่เราเรียกว่า “ อิ้วฝ้าย “
เสร็จแล้วนำปุยฝ้ายที่ได้ไปดีดด้วยกงดีดฝ้าย เพื่อให้ปุยฝ้ายแตกละเอียด
แล้วนำไปล้อด้วยไม้ล้อ คลึงใส่กระดานล้อให้เป็นแท่งกลม ๆ หลังจากนั้นจึงนำไปเข็นให้เป็นเส้นใย
โดยใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า “ หลา”
จากนั้นจึงนำเส้นฝ้ายที่ได้ไป “ ฆ่า “
ด้วยการซุบน้ำข้าว เพื่อให้ฝ้ายมีความเหนียว
คงทน ไม่ขาดง่าย เมื่อตากแดดจนแห้งก็นำไปใส่กง
เพื่อกวักเป็นเส้นด้ายแล้วนำมาปั่นหลอดแยกเส้นด้ายออกจากกัน เพื่อนำไปทอผ้าต่อไป
ขั้นตอนการทอผ้า
การทอผ้าก็ คือ
การทำให้เส้นด้าย ๒ กลุ่ม ขัดกัน
โดยด้ายที่สองพวกตั้งฉากกัน เส้นด้ายกลุ่มที่ ๑ เรียกว่า ด้ายยืน
และอีกกลุ่มหนึ่งเรียกว่าด้ายพุ่ง ลักษณะของการขัดกันของด้ายทั้ง
สองกลุ่มจะขัดกันแบบธรรมดาที่เราเรียกว่า
ลายขัดหรืออาจจะเพิ่มเทคนิคพิเศษเพื่อให้ผ้ามีลวดลายสีสันสวยงามแปลกตา
ภูมิปัญญาท้องถิ่น
ด้านหัตถกรรม
สานกระติบข้าวด้วยคล้า
นายโพธิ์ ชมพูเพชร อายุ
๖๘ ปี
บ้านเลขที่ ๕๔ หมู่ที่ ๔ บ้านหนองอีบุตร ตำบลหนองอีบุตร อำเภอห้วยผึ้ง จังหวัดกาฬสินธุ์
ความเป็นมา
พ่อโพธิ์ ชมพูเพชร
เริ่มสานกระติบข้าวเมื่ออายุ ๑๕ ปี ตอนบวชเป็นเณร
หลวงตาเป็นคนสอนที่วัด
สาเหตุที่สานกระติบข้าวเนื่องจากรักในด้านนี้และสร้างรายได้ให้กับครัวเรือน
วัสดุที่ใช้ไม่ได้ซื้อเพราะหาจากแหล่งธรรมชาติ หาได้ง่าย
และสืบสานมาตั้งแต่บรรพบุรุษ
วัสดุ /
อุปกรณ์
๑.
คล้า
เลือกเอาคล้าที่มีอายุประมาณ ๒ - ๓ ปี สังเกตลำต้นจะเป็นสีเขียวเข้ม
๒. ด้าย/ เชือกไนล่อน ใช้เย็บขอบให้แน่น
๓. เข็ม ใช้เย็บขอบและขากระติบข้าวให้แน่น
๔.
ไม้เนื้ออ่อน เช่น
ไม้กอก ไม้ยอ ใช้ทำขากระติบข้าว
๕. ไม้ไผ่ เลือกเอาไม้ที่อายุ ๒ - ๓
ปี
ต้นคล้ามีอายุประมาณ ๒-๓ ปีลำต้นจะสีเขียวเข้ม
วิธีทำกระติบข้าว
๑. กระติบข้าวกล่องใหญ่ ตัดลำคล้ายาวประมาณ ๘๐ cm กระติบข้าวกล่องเล็ก ตัดลำคล้ายาวประมาณ ๖๐ cm
๑. กระติบข้าวกล่องใหญ่ ตัดลำคล้ายาวประมาณ ๘๐ cm กระติบข้าวกล่องเล็ก ตัดลำคล้ายาวประมาณ ๖๐ cm
๒. นำคล้ามาผ่า
ลอกเปลือก
ขูดเยื่อข้างในออกเอาแต่เปลือก
๓. นำเปลือกคล้าที่ได้มาผ่าเป็นซีกๆ ความกว้างประมาณ ๐.๕ cm
๔. นำคล้าที่ผ่าแล้วไปตากแดดประมาณ ๒ -๓
วัน แล้วนำมาสาน
๕. ตัวกระติบข้าวใช้ลายสองยืน ฝากระติบข้าวใช้ลายสองเวียน สานเสร็จแล้วนำมาเย็บเข้ากันเป็นอันว่าเสร็จเรียบร้อย
ราคา/ขาย
กระติบข้าวขนาดใหญ่ กล่องละ ๑๕๐ บาท
กระติบข้าวขนาดเล็ก กล่องละ ๑๒๐ บาท
การถ่ายทอดภูมิปัญญาของท้องถิ่น
๑. สอนการสานกระติบข้าวให้ลูกหลานในชุมชนได้ฝึกปฏิบัติ
๒. จัดทำเอกสารแผ่นพับประกอบการเรียนรู้
ภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้านหัตถกรรม
สานกระด้ง
นายเจริญ ชมศรีภา
อายุ ๗๘ ปี
บ้านเลขที่ ๔๕ หมู่ที่ ๔
บ้านหนองอีบุตร
ตำบลหนองอีบุตร
อำเภอห้วยผึ้ง จังหวัดกาฬสินธุ์
ความเป็นมา
พ่อเจริญ ชมศรีภา
สานกระด้ง
ถักไม้กวาดสืบทอดมาจากพ่อปาน
อุ่นบุญเรือง สาเหตุที่สานกระด้งและถักไม้กวาดเพราะเป็นของใช้ที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน วัสดุอุปกรณ์หาได้ง่ายตามท้องถิ่น
และเป็นการสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นจากรุ่นสู่รุ่นให้ลูกหลานสานต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
วัสดุ/อุปกรณ์
๑.
ไม้ไผ่บ้าน อายุประมาณ ๑
ปี (เปลือกมีสีเขียวอ่อน)
๓. เข็ม
๔.
คีมขั้นตอนการทำกระด้ง
๑. นำไม้ไผ่ขนาดความยาว ๑
เมตร มาผ่าเป็นซีกๆ ซีกละ
๐.๕ ซม. หรือ ๑ ซม.
๒. นำไม้ไผ่ที่ผ่ามาจักให้บางพอประมาณ นำมาสานลายสอง ในกรณีสานแบบทึบ และสานลายสาม ถ้าต้องการสานแบบห่าง แล้วนำมาเข้าขอบที่เตรียมไว้แล้วเย็บให้แน่น
๓. นำกระด้งที่ได้ไปรมควันไฟเพื่อป้องกันแมลงมาเจาะเนื้อไม้
ราคา /ขาย
กระด้งใบละ ๕๐ บาท ทั้งอย่างทึบและห่าง
การถ่ายทอดของภูมิปัญญาท้องถิ่น
๑.
สาธิตและบรรยายให้กับลูกหลานเรียนรู้ถึงขั้นตอนการผลิต
๒. มีอุปกรณ์ให้ลูกหลานได้ทดลองจักสานกระด้ง
๓.
จัดทำเอกสารแผ่นพับประกอบการเรียนรู้
ภูมิปัญญาท้องถิ่น
ด้านหัตถกรรม (ทอเสื่อด้วยต้นกก)
แม่คำพันธ์ มาลาม้วย
อายุ ๖๔
ปี
บ้านเลขที่ ๑๗
หมู่ที่ ๔ บ้านหนองอีบุตร ตำบลหนองอีบุตร อำเภอห้วยผึ้ง จังหวัดกาฬสินธุ์
ความเป็นมา
แม่คำพันธ์ ปลูกต้นกกมาประมาณ ๒
ปีโดยได้รับพันธุ์ต้นกกมาจากคนในหมู่บ้านปลูกเพื่อ
ทอเสื่อไว้ใช้เองในครัวเรือนและจำหน่ายในหมู่บ้านและใช้เป็นสื่อสอนลูกหลานทอเสื่อด้วย
วัสดุ/อุปกรณ์
๑. ต้นกกที่แห้งแล้ว
๒. เชือกเส้นเล็ก (ทำด้วยฟางหรือไนล่อน)
๓. ชุดฟืม
๔. สีย้อมผ้า
๕. กรรไกร
๖. หม้อย้อมสี
ขั้นตอนการปลูกต้นกก
๑. เตรียมพื้นที่สำหรับปลูก ควรปลูกใกล้น้ำให้มากที่สุด
๒.
นำยอดกกที่มีต้นอ่อนเล็ก ๆ
ตั้งแช่น้ำประมาณ ๑ คืน
จะมีรากฝอยขึ้นรอบ ๆ ต้นอ่อน
๓.
นำต้นกกที่แช่น้ำแล้วมาลงหลุม
โดยขุดหลุมขนาดประมาณ ๓๐ x
๓๐ ซม. รดน้ำจนชุ่ม ปลูกประมาณ
๒ – ๓ เดือน ความยาวต้นกกประมาณ ๑.๒ – ๑.๕ เมตรก็สามารถนำมาผลิตเสื่อได้ ควรตัดต้นกกไปเรื่อย ๆ เพื่อให้มีพื้นที่ในการเกิดต้นใหม่
ขั้นตอนการทอเสื่อ
๑. ตัดต้นกกที่มีขนาดความยาวพอดี (ความยาว
๑.๒ – ๑.๕ เมตร)
๒.
นำต้นกกมาผ่าเป็นซีกเล็ก ๆ
แล้วนำไปตากแดดประมาณ ๓ วัน ป้องกันการเกิดเชื้อรา
๓.
นำถุงพลาสติกมาห่อกกไว้
เพื่อป้องกันแมลงกัดแทะ
และเชื้อราในฤดูฝน
๔. ถ้าต้องการทอเสื่อสีพื้น
(สีธรรมชาติ) สามารถทอได้เลยไม่ต้องย้อม ถ้าต้องการทอเสื่อเป็นสีต่าง
ๆ ให้ย้อมสีตามต้องการ
๕.
การย้อมสีจะใช้หม้อย้อมอันเดียวกัน
แต่แยกย้อมเป็นสีๆไป
๖. ติดตั้งชุดฟืมทอเสื่อ
ใช้เชือกฟางหรือเชือกไนล่อน สอดรูของฟืมตามระยะห่างที่ต้องการ
ถ้าต้องการให้เสื่อมีความหนามากให้สอดเชือกทุกรูของฟืม
เราสามารถกำหนดความยาวและความกว้างของเสื่อเองได้จากจำนวนของเชือก
๗. เริ่มทอเสื่อตามแบบที่เราต้องการ โดยเปลี่ยนฟืมคว่ำ – หงาย เป็นลายขัด ขณะสอดเส้นกก ตามเชือก และม้วนเก็บปลายกกทุกเส้น เพื่อป้องกันการหลุดลุ่ย
๘. เมื่อทอเสร็จแล้ว ให้ตัดเชือกที่ผูกตรึงไว้ทั้งบนและล่าง
ถักเชือกที่ติดมากับเสื่อป้องกันการหลุดของเส้นกก
ผลผลิต
/ เดือน
ประมาณ ๒๐
ผืน
ราคา/หน่วย
เสื่อสีพื้น (ไม่ย้อมสี) ราคา
๑๐๐ บาท/ผืน
เสื่อสลับสี ราคา
๑๕๐ บาทขึ้นไป
การถ่ายทอดของภูมิปัญญาท้องถิ่น
การถ่ายทอดของภูมิปัญญาท้องถิ่น
๑.
สอนลูกหลานในชุมชนถึงขั้นตอนการทอเสื่อเพื่อใช้เองและจำหน่าย จำนวน
๖ ครัวเรือน
๒.
มีอุปกรณ์ให้ลูกหลานสามารถทดลองทอเสื่อ
๓.
ทำเอกสารแผ่นพับประกอบการเรียนรู้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น