วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ด้านภาษาและวรรณกรรม


7. ด้านภาษาและวรรณกรรม
ภาษาไทยถิ่นอีสาน เป็นภาษาท้องถิ่นที่ใช้พูดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เป็นภาษา
ลาวสำเนียงหนึ่ง  ในสำเนียงภาษาถิ่นของภาษาลาว ซึ่งแบ่งเป็น 6 สำเนียงใหญ่ แต่จะยกมาเฉพาะที่ใช้พูดในอำเภอห้วยผึ้ง จังหวัดกาฬสินธุ์ คือ ภาษาลาวตะวันตก ไม่มีใช้ในประเทศลาว เป็นภาษาที่ใช้ในท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ท้องที่ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ มหาสารคาม และบริเวณใกล้เคียงมลฑลร้อยเอ็ด ของประเทศสยาม
          ส่วนภาษาเขียนในอดีตใช้อักษรธรรมล้านช้างหรือตัวธรรม สำหรับบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะหรือพระพุทธศาสนา และเขียนด้วยอักษรไทน้อยหรือตัวลาว (เป็นอักษรลาวล้านช้างโบราณมีความแตกต่างกับอักษรลาวในสปป.ลาวในปัจจุบันเล็กน้อย) สำหรับเรื่องราวทางโลก อักษรลาวล้านช้าง (ตัวลาวหรืออักษรไทน้อย) มีพยัญชนะ 20 เสียง สระเดี่ยว 18 เสียง สระประสม 2-3 เสียง บางท้องถิ่นไม่มีเสียงสระเอือ
          ในปัจจุบันนิยมใช้อักษรไทยสำหรับเขียนบันทึกเรื่องราวต่างๆ ทั้งในทางโลกและทางธรรม เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถอ่านตัวอักษรธรรมและอักษรลาวออก แต่ความนิยมในการเขียนบันทึกเป็นภาษาถิ่นไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก โดยส่วนใหญ่ภาษาเขียนในท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย(อีสาน) จะใช้อักษรไทยและบันทึกเป็นภาษาไทยกลางเป็นหลักแทน
          ภาษาผู้ไท อำเภอห้วยผึ้ง เป็นอำเภอหนึ่งที่มีชาวผู้ไทยอพยพย้ายถิ่นแยกมาตั้งรกรากจากอำเภอ
กุฉินารายณ์ อำเภอคำม่วง และอำเภอสมเด็จ จำนวน 2 ตำบลคือ ตำบลหนองอีบุตร และตำบลคำบง มีการใช้ภาษาผู้ไท พูดกัน ในบางพื้นที่
          ภาษาและความแตกต่างจากภาษาหลัก เปรียบเทียบภาษาถิ่นภูไท ภาษาไทยอีสาน ภาษาไทยกลาง
นั้น เพื่อง่ายในการศึกษาได้  เช่น คำที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
          คำสนทนาและคำที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
ภาษาภูไท
ภาษาไทยอีสาน
ภาษาไทยกลาง
เจ้าชื่อแนวเลอ
เจ้าชื่อหยัง
คุณชื่ออะไร
บ้านอยู่ชิเลอ
บ้านอยู่ไส
บ้านอยู่ไหน
เจ้าสิไปชิเลอ
เจ้าสิไปไส
ท่านจะไปไหน
เจ้ามานำเพอ
เจ้ามากับไผ
ท่านมากับใคร
กินข้าวแล้วเบะ
กินเข่าแล้วบ่
กินข้าวหรือยัง
กินข้าวกับพะเหรอ
กินข่าวกับหยัง
กินข้าวกับอะไร
เจ้ามักข่อยบ่
เจ้ามักข่อยบ่
คุณรักผมไหม
ข่อยคิดฮอดเจ้าหลาย
ข้อยคิดฮอดเจ้าหลาย
ผมคิดถึงคุณมาก
ภาษาภูไท
ภาษาไทยอีสาน
ภาษาไทยกลาง
เจ้าแต่งงานแล้วเบาะ
เจ้าแต่งงานละเบาะ
คุณแต่งงานหรือยัง
มาเค้ดกินข้าว
มาเอกินเข่า
เชิญกินข้าว
เอาไผแล้วบ่
เอาผัวละเบาะ
มีสามีหรือยัง
เจ้าคืองามแท้
เจ้าคือมะงามแท้
คุณสวยงามมาก
ข้อยอยากเห็นหน้าเจ้าซูมื้อ
ข่อยอยากเห็นหน้าเจ้าซูมื้อ
ผมอยากเห็นหน้าคุณทุกวัน
มื่ออื่นตอนแลงพบเดวใหม่
มื่ออื่นตอนแลงพ้อกันใหม่เนาะ
พรุ่งนี้ตอนเย็นพบกันใหม่นะ
ข้อยลาก่อนเด้อ
ข้อยลาก่อนเด้อ
ผมขอลาก่อนนะ
อย่าขี้ค้านหลายแมะ
อย่าขี้ค้านหลาย
อย่าขี้เกียจนักชี
เด๋วคูตีเด้
จักหน่อยคูสิตีเด้
เดี๋ยวครูตีนะ
เป็นเผอจังขาดเฮน
เป็นหยังจังขาดเฮียน
ทำไมจึงขาดเรียน
เจ้าเย่วเซอซิ่น
เจ้าเยี่ยวใส่ซิ้น
คุณปัสสาวะใส่ผ้าถุง
ขอหอมแก้มแน
ขอหอมแก้มแหน่
ขอหอมแก้มหน่อย
ตกลงเส
ตกลงเสีย
ตกลงซะ
ไปสิเล้อ
ไปไส
ไปไหน
ไปตะล้าด
ไปตะหลาด
ไปตลาด
ไปโลงเลน
ไปโลงเรียน
ไปโรงเรียน
เจ้ามิฮักมิแพงข้อยบ้อ
เจ้าบ่อฮักข่อยเบาะ
เจ้าไม่รักพี่แล้วหรือ
อีแม่ข้อยโป้ดท่อง
อีแม่ข่อยเจ็บท้อง
คุณแม่หนูปวดท้อง
เส้อคืองามแท้
เสื้อคืองามแท้
เสื้อคุณสวยจัง
มิงามปานเลอละ
บ่งามปานได๋
ไม่สวยเท่าไหร่
ผู้เลอซื้อเฮ้อ
แม้นไผซื้อไห่
ใครซื้อให้
ข้อยนี่แห่ละซื้อเอง
ข่อยซื้อเอง
ฉันซื้อเอง
เอ็ดสวนเผอเลอ
เห็ดสวนหยัง
ทำสวนอะไร
เอ็ดโสนแตงโม
เห็ดสวนแตงโม
ทำสวนแตงโม
เจ้าเป็นผะเหลอ
เจ้าเป็นหยัง
เธอเป็นอะไร
ข้อยโป้ดโห
ข่อยปวดหัว
ฉันปวดหัว
ตื่นเซ่านึ่งข้าว
ตื่นเช้านึ่งเข่า
ตื่นเช้านึงข้าว
อาบน้ำแต่งโต๋
อาบน้ำแต่งโต๋
อาบน้ำแต่งตัว
ได้อ้ายน้องจั่กคน
มีอ้ายน้องจั่กคน
มีพี่น้องกี่คน
มื้อนี้อากาศหนาวคัก
มื้อนี้อากาศหนาวหลาย
วันนี้อากาศหนาวมาก
ทอดปาแด้ะ
ทอดปาแดก
ทอดปลาร้า
วรรณกรรมอีสาน
วรรณกรรมอีสาน มีหลายเรื่อง ขอยกมาเป็นตัวอย่าง 5 เรื่องที่มีการพูดถึงบ่อย หรือเล่าให้ลูกหลานฟังบ่อย ในเขตอำเภอห้วยผึ้ง จังหวัดกาสินธุ์
1. เซียงเมี่ยง
เซียงเมี่ยงเป็นนิทานเจ้าปัญญาที่มีการเล่าสืบต่อกันมาเป็นสำนวนต่างๆ แล้วแพร่ กระจายไปทั่วเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เฉพาะสำนวนของภาคอีสานนั้นมีหลายสำนวน แต่พอสรุปเรื่องได้ว่า กษัตริย์องค์หนึ่งครองเมืองสียุดทิยา มเหสีประสูติพระโอรสแต่โหรทำนายว่า จะเลี้ยงยาก ต้องหาเด็กที่เกิดวันเดียวกันมาเลี้ยงด้วย จึงไปขอลูกนางคำฮางซึ่งเกิดวันเดียวกันมาเลี้ยงร่วมกัน โดยให้นางสนมเป็นคนเลี้ยง เมื่อโตขึ้นจึงถวายตัวเป็นมหาดเล็ก และมีช่วงหนึ่งได้ออกบวชแล้วก็สึกออกมารับใช้กษัตริย์ต่อไป
ส่วนเนื้อเรื่องที่แสดงถึงความเป็นเจ้าปัญญาของเซียงเมี่ยงนั้นมีเป็นตอนๆ เช่น เซียงเมี่ยงเลี้ยงน้อง เซียงเมี่ยงเก็บหมาก เซียงเมี่ยงกินข้ออ้อยจนเกิดมีปัญญาเหนือกว่าคนอื่น ลองปัญญากับสมภาร พนันกับลาวส่งเมี่ยง เซียงเมี่ยงแต่งงาน (เลือกคู่) ให้ยาดีแก่พระราชา พระราชาแกงแร้งให้เซียงเมี่ยงกิน เซียงเมี่ยงหลอกพระยาเลียขี้แร้ง พระราชาให้นางสนมเล่นออกไข่ เซียงเมี่ยงติเรือนพระราชา เซียงเมี่ยงติช้างพระยา พระราชาให้ไปหาปากง่าม เซียงเมี่ยงหลอกพระยาลงหนองน้ำ พระราชาให้ไปหาผ้าลายตีนแต้ม เซียงเมี่ยงหลอกดูก้นสมภาร พระราชาสั่งให้เซียงเมี่ยงล่วงหน้าไปก่อน พระราชาสั่งให้มาก่อนไก่ เซียงเมี่ยงขอที่เท่าแมวดิ้นตาย
เซียเมี่ยงขอเงินหนึ่งบาท พระราชาให้นางสนมไปอุจจาระรดเรือนเซียงเมี่ยง เจ้าต่างเมืองมาท้าชนหัวล้าน ภรรยาบอกให้เซียงเมี่ยงหาเงิน เซียงเมี่ยงทายใจเสนา เซียงเมี่ยงหลอกให้ดมตด เซียงเมี่ยงทายว่าพระราชาจะตายใน 7 วัน เซียงเมี่ยงตอบปัญหากับราชครูเมืองตานี เซียงเมี่ยงแก้มือศึกเมืองปัญจานคร พระราชาให้
เซียงเมี่ยงไปเก็บพริก เซียงเมี่ยงกองก้นรับเสด็จ เซียงเมี่ยงชนวัว เซียงเมี่ยงชนไก่ เซียงเมี่ยงสานตะกร้าในน้ำ เซียงเมี่ยงกู้เงินจะใช้คืนในสองเดือน เซียงเมี่ยงเอาเปรียบเณรน้อยในเรือ เณรน้อยแก้แค้นเซียงเมี่ยง เซียงเมี่ยงถูกยาเบื่อตาย กระดูกเซียงเมี่ยงทำพิษแก่แม่หม้าย เป็นต้น (ยังมีอื่นๆ อีก แตกต่างกันบ้าง)

2. กำพร้าผีน้อย
ที่เมืองแห่งหนึ่งมีเด็กน้อยคนหนึ่งกำพร้าพ่อและแม่ ได้เที่ยวขอทานเขากินจนโตเป็นหนุ่มแล้วจึงออกจากเมือง มาทำนาทำไร่ ณ ที่แห่งหนึ่ง เมื่อข้าวพืชงอกงามขึ้น ได้มีสัตว์ต่างๆ มากิน แม้จะไล่อย่างไรก็ไม่ไหว เอาอะไรมาทำเครื่องดักก็ยังขาดหมด จึงไปขอเอาสายไหม จากย่าจำสวน (คนสวนของพระราชา) มาทำจึงจับได้ช้าง ช้างเมื่อถูกจับได้กลัวตายจึงร้องขอชีวิตและบอกว่าจะให้ของวิเศษถอดงาข้างหนึ่งให้ ท้าวกำพร้าผีน้อยจึงปล่อยไปแล้วเอางาช้างมาไว้ที่บ้าน ต่อมาท้าวกำพร้าดักได้เสือ เสือก็ยอมเป็นลูกน้อง โดยบอกว่าถ้ามีเรื่องเดือดร้อนจะมาช่วย ต่อมาจับได้อีเห็น อีเห็นก็ยอมเป็นลูกน้อง เช่นเดียวกันกับเสือ ต่อมาจับพญาฮุ้ง
(นกอินทรีย์) พญาฮุ้งก็ยอมเป็นลูกน้องอีก และตัวสุดท้ายจับได้คือผีน้อยที่มาขโมยกินปลาที่ไซ ผีน้อยก็ยอมเป็นลูกน้อง เมื่อท้าวกำพร้าได้งาช้างมาแล้วก็เอามาไว้ที่บ้าน ในงาช้างนั้นได้มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อสีดา อาศัยอยู่ นางได้ออกมาทำอาหารไว้รอท้าวกำพร้า ต่อมาท้าวกำพร้าจับนางได้จึงทุบงาช้างนั้น เพื่อจะไม่ให้นางหลบเข้าไปอยู่อีก นางจึงอยู่กินเป็นสามีภรรยากันตั้งแต่นั้นมา ความสวยงามของสีดา ได้ยินไปถึงพระราชา เมื่อพระราชาเห็นแล้วก็รักใคร่จึงจะยึดเอาแต่ก็กลัวคนจะติเตียน จึงท้าท้าวกำพร้าทำการแข่งขันต่างๆ โดยถ้าท้าวกำพร้าแพ้จะยึดนางสีดามา แต่ถ้าพระองค์แพ้จะยอมยกเมืองให้ครึ่งหนึ่ง การแข่งขันนั้นคือ ชนวัว ชนไก่ แข่งเรือ แต่ปรากฏว่าท้าวกำพร้าชนะทุกครั้ง เพราะในการชนวัวนั้น เสือแปลงเป็นวัวมาช่วยท้าวกำพร้า ชนไก่นั้นอีเห็นแปลงเป็นไก่มาช่วย กัดไก่ของพระราชาตาย ในการแข่งขันเรือนั้นพญาฮุ้งมาเป็นเรือและได้ทำให้เรือพระราชาล่มแล้วกินคนทั้งหมด เมื่อพระราชาตายแล้วได้รวมหัวกับบ่างลั่วตัวหนึ่ง โดยให้บ่างลั่วร้องเรียกวิญญาณของนางสีดามา โดยร้องครั้งแรกนางก็ไม่สบาย ครั้งที่สองสลบไป ครั้งที่สามจึงตายวิญญาณของนางจึงมาอยู่กับพวกผีพระราชา ส่วนท้าวกำพร้าปรึกษากับผีน้อย ผีน้อยบอกว่าอย่าเพิ่งเผา จะตามไปดูวิญญาณของนางอยู่ที่ใด เมื่อผีน้อยตามไปทราบเรื่องทั้งหมดแล้วจึงวางแผนจะจับบ่างลั่วตัวนั้น จึงเข้าไปตีสนิทกับบ่างลั่วแล้วสานข้อง (ที่ใส่ปลา) ครั้งแรกสานด้วยไม้ใผ่แล้วให้บ่างลั่วเข้าไปข้างใน แล้วให้ยันดูปรากฏว่าข้องแตก จึงสานด้วยลวด แล้วบอกให้บ่างลั่วเข้าไปดูแล้วบอกให้ยันดู ปรากฏว่าข้องไม่แตกจึงรีบหาฝามาปิดแล้วรีบเอามาให้ท้าวกำพร้าบังคับให้บ่างลั่วร้องเรียกเอาวิญญาณนางสีดากลับคืนมาไม่เช่นนั้นจะฆ่าเสีย บ่างลั่วจึงร้องเรียกเอาวิญญาณนางกลับมา โดยร้องครั้งแรกก็เคลื่อนไหว ครั้งที่สองฟื้นขึ้น ครั้งที่สามหายเป็นปกติทุกอย่าง พอทุกอย่างปกติแล้วท้าวกำพร้าจึงหลอกว่าขอดูไอ้ที่ร้องเอาวิญญาณคนได้ไหม บ่างลั่วจึงแลบลิ้นออกมาให้ดู ท้าวกำพร้าจึงตัดลิ้นบ่างลั่วนั้นเสีย เพราะกลัวมันจะร้องเอาวิญญาณไปอีก บ่างลั่วจึงร้องไม่ชัดตั้งแต่นั้นมา ส่วนท้าวกำพร้ากับนางสีดา ได้ปกครองเมืองแทนพระราชาที่ตายนั้น

3.ท้าวก่ำกาดำ (ท้าวกินรี)
แต่ก่อนนานมาแล้ว มีผัวเมียที่ยากจนมากครอบครัวหนึ่ง แต่งงานมา 7 ปี ไม่มีลูกจึงขอลูกจากพระอินทร์ พระอินทร์จึงประทานลูกให้เป็นชาย ก่อนท้องแม่ฝันว่าลูกแก้วสีดำตกเข้าปาก ลูกแก้วลอยหนีไปส่งแสงสว่างไปทั่ว เมื่อตั้งท้องเกิดลูกเป็นชายตัวดำเหมือนกา รูปชั่วตัวดำใครๆ ก็หัวเราะเยาะ แม่ไม่ยอมเลี้ยงเพราะอับอายจึงเอาไปล่องแพทิ้ง เด็กดำลอยไปอยู่ 7 วัน 7 คืน ก็มาถึงหาดทรายแห่งหนึ่ง พระอินทร์เล็งเห็นว่าลำบากเลยให้กาดำมาช่วยพาไปไว้เมืองเบ็งจาล กินรีเลยหาผลไม้กินเป็นอาหาร เจ้าของสวนมาพบเข้าจึงเอาไปเลี้ยงไว้
วันหนึ่งกินรีช่วยยายเจ้าของสวนร้อยดอกไม้มาลัยได้สวยงามมาก ยายเอาไปถวายธิดากษัตริย์ชื่อนางลุน นางลุนก็อยากเห็นตัวคนร้อยมาลัย วันหนึ่งกินรีทำอุบายให้ยายพานางมาชมสวน เมื่อได้พบนาง ก็หลงรัก กินรีมีความสามารถในการเป่าแคนได้ไพเราะ จึงเป่าแคนให้ผู้คนฟัง เสียงเล่าลือว่ากินรีเป่าแคนได้ไพเราะไปทั่วเมือง วันหนึ่งกินรีได้ถอดรูปร้ายกลายเป็นคนร่างงามสง่าไปหานางลุนบอกนางว่ามาจากเมืองอินทปัฐ และได้นางเป็นเมีย เจ้าเมืองฝันว่าช้างมาไล่คน กินอ้อยกล้วยของเมือง จึงให้หมอมาทาย กาดำได้เฝ้ากษัตริย์ เพราะชื่อเสียงว่าเป่าแคนเพราะ กลางคืนกินรีไปหานางและได้ขอแหวนและผ้าสไบมาไว้เป็นที่ระลึก กลับมาบ้านให้ยายไปขอให้ เจ้าเมืองเรียกสินสอดเงินแสนชั่ง ทองแสนชั่ง ช้างพันตัว มีคนขับขี่พร้อม คนใช้พันคน สะพานเงิน สะพานทอง จากบ้านยายไปหาพระราชวัง พระอินทร์พระยานาคมาช่วยทำสะพาน หาสินสอดในที่สุดกินรีกับนางลุนก็ได้แต่งงานกัน

4.ท้าวผาแดง - นางไอ่
เมืองสุวรรณโคมคำหรือเอกธีตา อยู่ทางทิศใต้ของเมืองหนองแส เมืองเอกธีตานี้มีพระยาขอมเป็นผู้ปกครอง มีนางจันทร์เป็นมเหสี มีธิดาสาวสวยคนหนึ่งชื่อไอ่คำ พระยาขอมมีน้องชาย 2 คน ให้ไปครองเมืองเชียงเทียน และเมืองสีแก้ว มีหลาน 3 คนให้ไปปกครองเมืองฟ้าแดด เมืองหงส์ และเมืองทอง นางไอ่คำเมื่ออายุได้ 15 ปี มีความงามเล่าลือไปทั่วทุกทิศจนกระทั่งไปเข้าหูของท้าวผาแดงแห่งเมืองผาโพง ท้าวผาแดงจึงขึ้นขี่ม้ามาแอบหานางไอ่ และได้สมัครรักใคร่กันแล้วสัญญากันว่า จะทำพิธีสู่ขอและแต่งงานกันตามประเพณีในไม่ช้านี้ ยังมีเมืองอีกแห่งหนึ่งชื่อศรีสัตนาคนหุต มีสุทโธนาคครองเมือง มีโอรสชื่อภังคี สุทโธนาคนี้อพยพมาจากหนองแส เพราะผิดใจกับสุวรรณนาคผู้เป็นสหายเนื่องมาจากการแบ่งเนื้อเม่น คือ สุทโธนาคไม่พอใจเพราะได้น้อยคิดว่าสุวรรณนาคเล่นไม่ซื่อจึงเกิดการทะเลาะกันเป็นสงครามอันยิ่งใหญ่ เดือดร้อนถึงพระอินทร์ต้องส่งเทพบุตรลงมาห้ามศึกสงคราม และเทพบุตรได้แบ่งเขตให้ทั้งสองอยู่คือ สุวรรณนาคปกครองฝั่งใต้ สุทโธนาคครองฝั่งเหนือและตะวันออก โดยแบ่งลงไปจรดฝั่งทะเล นาคทั้งสองจึงขุดคลองจากหนองแสลงสู่ทะเล โดยสุวรรณนาคขุดแม่น้ำน่านหรือโพระมิง ตั้งเมืองนันทบุรี ส่วนสุทโธนาคขุดแม่น้ำโขง และตั้งเมืองศรีสัตนาคนหุต
ครั้นถึงกลางเดือนหกพระยาขอมจะทำบุญบั้งไฟ จึงมีใบบอกบุญไปยังหัวเมืองต่างๆ ที่เป็นบริวารให้ทำบั้งไฟไปร่วมจุดในงาน ท้าวผาแดงไม่ได้รับใบบอกบุญ แต่ได้ทราบข่าวจึงจัดบั้งไฟหมื่นไปร่วมบุญด้วยแล้วได้พบนางไอ่คำเป็นครั้งที่สอง และได้รับการต้อนรับอย่างดี ในการจุดบั้งไฟ พระยาขอมให้มีการพนันกันว่าถ้าบั้งไฟของใครชนะจะให้ทรัพย์สมบัติและนางสนมกำนัล สำหรับท้าวผาแดงนั้นจะยกนางไอ่คำให้ ในเวลาจุดปรากฏว่าบั้งไฟของเมืองอื่นๆ ขึ้นหมด ส่วนของพระยาขอมไม่ขึ้น (ซุ) และของท้าวผาแดงแตกกลางบั้ง แต่พระยาขอมก็เฉยเสียไม่ทำตามสัญญา เจ้าเมืองต่างๆ จึงพากันกลับหมด ส่วนท้าวผาแดงก็กลับเมืองของตนพร้อมกับความทุกข์เพราะความรักและบั้งไฟไม่ขึ้น งานบุญบั้งไฟนั้นท้าวภังคี ลูกชายสุทโธนาคไม่ได้นำบั้งไฟมาร่วมด้วย แต่ได้แปลงกายมาร่วมงานด้วย และได้หลงรักนางไอ่คำด้วยเช่นกัน แต่ไม่มีโอกาสเข้าใกล้นางได้ จึงกลับบ้านไปด้วยความรักเต็มอก ครั้นถึงเมืองศรีสัตนาคนหุตแล้วก็ไม่เป็นอันกินอันนอน จึงลาพ่อเพื่อมาหานางไอ่คำอีก พ่อได้ห้ามไว้แต่ไม่สามารถห้ามปรามได้
เมื่อมาถึงเมืองเอกธีตาแล้วท้าวภังคีแปลงกายเป็นกระรอกด่อน (กระรอกเผือก) ส่วนบริวารก็แปลงเป็นสัตว์ กระรอกด่อนภังคีแขวนกระดิ่งไว้ที่คอด้วย ได้ปีนป่ายกระโดดไปตามต้นไม้ใกล้ปราสาทของนางไอ่คำสายตาสอดส่ายหานางไอ่คำ นางไอ่คำเห็นกระรอกก็อยากได้จึงให้ตามนายพรานมาจับ นายพรานได้ยิงกระรอกด่อนด้วยธนู ก่อนตายกระรอกด่อนได้อธิษฐานว่า "ขอให้เนื้อข้าจงเอร็ดอร่อย และมีกินแก่คนทั้งเมือง" เมื่อกระรอกด่อนตายแล้วชาวเมืองก็แบ่งเนื้อกันกิน ยกเว้นแม่ม่าย เพราะเขาถือว่าไม่ได้ช่วย ฝ่ายบริวารของภังคีเห็นเจ้านายของตนเสียทีเขาแล้ว ก็รีบกลับไปบอกท้าวสุทโธนาค ท้าวสุทโธนาคโกรธมาก จึงเกณฑ์ไพร่พลนับหมื่นเพื่อถล่มพระยาขอม ใครกินเนื้อภังคีต้องเอาให้ตายทั้งหมด กองทัพนาคจึงมุ่งสู่เมืองพระยาขอมทันที ในขณะเดียวกันท้าวผาแดงคิดถึงนางไอ่คำจนทนอยู่ไม่ได้ จึงรีบขึ้นม้าบักสามจากเมืองผาโพงสู่เอกธีตา เมื่อมาถึงนางไอ่คำก็ต้อนรับด้วยความดีใจ พร้อมทั้งจัดอาหารมาเลี้ยง เมื่อท้าวผาแดงรู้ว่าเป็นเนื้อกระรอกก็ไม่กิน แล้วบอกนางไอ่คำว่ากระรอกนี้ไม่ใช่กระรอกธรรมดา เป็นท้าวภังคีแปลงตนมา ใครกินเนื้อกระรอกแล้วบ้านเมืองจะถล่มถึงตาย พอตกกลางคืนกองทัพนาคก็มาถึงเมือง แผ่นปฐพีจึงถล่มโครมครามไปทั่ว ท้าวผาแดงจึงให้ไอ่คำเตรียมข้าวของบางสิ่งที่พอจะเอาไปได้ เช่น แหวน ฆ้อง และกลองประจำเมือง แล้วรีบขึ้นม้าซ้อนท้ายตนแล้วควบม้าบักสามออกจากเมืองทันที พญานาครู้ว่าไอ่คำกินเนื้อกระรอก กำลังหนีไปจึงติดตามไปติด ๆ แผ่นดินก็ถล่มไปไม่หยุด นางไอ่คำต้องโยนฆ้องและกลองทิ้ง สุดท้ายก็โยนแหวนทิ้งเพราะเข้าใจว่าพญานาคตามมาเอาสิ่งเหล่านี้ แต่พญานาคก็ยังตามมาอีก ม้าบักสามก็ค่อย ๆ หมดแรงลง พญานาคตามมาทันแล้วเอาหางตวัดเกี่ยวเอาตัวนางไอ่คำลงมาจากหลังม้าจมน้ำหายไป ส่วนท้าวผาแดงก็ควบม้าหนีต่อไป บ้านใครที่ได้กินเนื้อกระรอกก็ได้ถล่มทลายเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่คือหนองหานนั่นเอง เหลือแต่บ้านแม่หม้ายที่ไม่ได้กิน จึงกลายเป็นดอนแม่หม้ายจนทุกวันนี้
ท้าวผาแดงกลับไปถึงเมืองผาโพงแล้ว เสียใจที่สูญเสียคนรักไปต่อหน้าต่อตา จึงอธิษฐานต่อเทพยดาว่าจะขอตายเพื่อไปสู้เอานางไอ่คำกลับคืนมา และตรอมใจตายเป็นหัวหน้าผีได้นำกองทัพผีไปต่อสู้กับพญานาค กองทัพผีกับกองทัพพญานาคได้ต่อสู้กันอยู่นาน น้ำในบึงในหนองขุ่นข้น ดินบนบกกลายเป็นฝุ่นตลบไปหมด ร้อนถึงพระอินทร์ต้องลงมาระงับศึก ให้ทุกฝ่ายตั้งสติ เหตุทั้งหลายเป็นเพราะบุพกรรม และเลิกแล้วต่อกัน

          5.สีทนต์ มโนราห์  
ยังมีนครเป็งจาล มีกษัตริย์ชื่อ ท้าวอาทิตราช พระโพธิสัตว์ได้จุติในครรภ์พระเทวีของพระองค์ เมื่อประสูติแล้วทรงพระนามว่า สีทนต์ เมื่อประสูติมามีธนูอาวุธประจำพระองค์ติดมาด้วย แสดงถึงความเป็นผู้มีบุญบารมี มีนายพรานคนหนึ่งไปล่าสัตว์ที่ป่าหิมพานต์ ไปช่วยกิตตินาคราชให้พ้นจากการคุกคามของยักษ์ นายพรานไปพบนางกินรี ชื่อมโนราห์ และพี่ของนางรวม 7 คน มาเล่นน้ำในสระริมเขาไกรลาส นายพรานจึงยืมบ่วงบาศจากพระยานาคไปคล้องนางมโนราห์ได้ แล้วนำนางไปถวายท้าวสีทนต์ ท้าวสีทนต์ยกนางไว้ในตำแหน่งมเหสี ต่อมามีโจรมารุกรานนอกเมือง ท้าวสีทนต์จึงไปปราบโจร ท้าวอาทิตราช ได้ทรงพระสุบินว่า ไส้ได้ไหลออกจากท้องจึงให้หมอโหรมาทายดู หมอโหรทายว่าจะต้องเอาเนื้อนางมโนราห์ เซ่นผีบ้านเมือง นางมโนราห์จึงทำอุบายขอปีกหางจะรำให้ดู แล้วนางก็บินหนีไปยังเขาไกรลาส ท้าวสีทนต์ไปปราบโจร 3 เดือนก็สำเร็จ กลับมาไม่พบมโนราห์จึงออกตามหา ท้าวสีทนต์ไปตามหานางด้วยความยากลำบาก ไปพบพระฤาษีที่นางมโนราห์ฝากแหวนไว้ พระฤาษีชี้ทางไปและแนะนำเช่นการกินผลไม้ให้กินตามนก จะพบเส้นทางยากลำบาก ให้ปราบด้วยมะนาวเสกต่อมาพบยักษ์สูงเจ็ดชั่วลำตาล ให้ใช้ปืนยิง และข้ามแม่น้ำที่มีงูจงอาง งูเหลือม งูทำทาน เป็นแม่น้ำที่มีพิษ พ้นจากตรงนั้นจะต้องเกาะหลังนกอินทรีย์ไปจนกว่านกอินทรีย์จะพาบินไปถึงป่าหิมพานต์ของนางมโนราห์ ในที่สุดท้าวสีทนต์ก็ได้พบกับนางมโนราห์สมดังปรารถนา
มารดาข้าพเจ้าจะเล่าเรื่องที่กล่าวข้างต้นถึงให้ลูกๆ ฟังตอนเป็นเด็ก เพราะยังไม่มีทีวีใช้ในสมัยนั้น
มีไฟฟ้าใช้จำได้ตอนอยู่ชั้น ป.6 ทุกคนตื่นเต้นมาก

ผญา
สุภาษิตสำหรับสั่งสอนลูกหลานให้ประพฤติตนอยู่ในฮีตคอง (จารีต- ประเพณี) ไม่ออกนอกลู่นอกทาง คำคมเหล่านี้รู้จักกันทั่วไป ในชื่อ "ผญา" หมายถึง ปัญญา, ปรัชญา, ความฉลาด, คำภาษิตที่มีความหมายลึกซึ้ง (wisdom, philosophy, maxim, aphorism.)
          ผะหยา หรือ ผญา เป็นคำภาษาอีสาน สันนิษฐานกันว่าน่าจะมาจากคำว่า ปรัชญา เพราะภาษาอีสานออกเสียงควบ "ปร" ไปเป็น ผ เช่น คำว่า เปรต เป็น เผต โปรด เป็น โผด หมากปราง เป็น หมากผาง ดังนั้นคำว่า ปรัชญา อาจมาเป็น ผัชญา แล้วเป็น ผญา อีกต่อหนึ่ง  ปัญญา ปรัชญา หรือผญา เป็นกลุ่มภาษาเดียวกัน มีความหมายคล้ายคลึงกัน ใกล้ เคียงกันหรือบางครั้งใช้แทนกันได้ ซึ่งหมายถึง ปัญญา ความรู้ ไหวพริบ สติปัญญา ความเฉลียว ฉลาดปราชญ์เปรื่อง หรือบางท่านบอกว่า ผญา มาจากปัญญา โดยเอา ป เป็น ผ เหมือนกับ เปรต เป็น เผด โปรด เป็น โผด เป็นต้น ผญาเป็นลักษณะแห่งความคิดที่แสดงออกมาทางคำพูด ซึ่งอาจ จะมีสัมผัสหรือไม่ก็ได้
           ผญา คือ คำคม สุภาษิต หรือคำพูดที่เป็นปริศนา คือฟังแล้วต้องนำมาคิด มาวิเคราะห์ เพื่อค้นหาคำตอบที่เป็นจริงและชัดเจนว่า หมายถึงอะไร
           ผญา เป็นคำพูดที่คล้องจองกัน ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องมีสัมผัสเสมอไป แต่เวลาพูดจะ ไพเราะสละสลวย และในการพูดนั้นจะขึ้นอยู่กับจังหวะหนักเบาด้วย
           ผญา เป็นการพูดที่ต้องใช้ไหวพริบ สติปัญญา มีเชาวน์ มีอารมณ์คมคาย พูดสั้นแต่กิน ใจความมาก
           การพูดผญาเป็นการพูดที่กินใจ การพูดคุยด้วยคารมคมคาย ซึ่งเรียกว่า ผญา นั้น ทำให้ผู้ฟังได้ทั้งความรู้และความคิดสติปัญญา ความสนุกเพลิดเพลิน ยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้เกิด ความรักด้วย จึงทำให้หนุ่มสาวฝนสมัยก่อน นิยมพูดผญากันมาก และการโต้ตอบเชิงปัญญาที่ทำ ให้แต่ละฝ่ายเฟ้นหาคำตอบ เพื่อเอาชนะกันนั้นจึงก่อให้เกิดความซาบซึ้ง ล้ำลึกสามารถผูกมัด จิตใจของหนุ่มสาวไม่น้อย ดังนั้น ผญา จึงเป็นเมืองมนต์ขลัง ที่ตรึงจิตใจหนุ่มสาวให้แนบแน่น ลึกซึ้งลงไป  การจ่ายผญา แก้ผญา เว้าผญา หรือ พูดผญา คือการตอบคำถาม ซึ่งมีผู้ถามมาแล้ว ก็ตอบไป เป็นการพูดธรรมดา ไม่มีการเอื้อนเสียง ไม่มีทำนอง แต่เป็นจังหวะ มีวรรคตอนเท่านั้น ผู้ถามส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายชาย เช่น  ตัวอย่างผญา
           (ชาย) .... อ้ายนี้อยากถามข่าวน้ำ ถามข่าวถึงปลา อยากถามข่าวนา ถามข่าวถึงเข้า (ข้าว) อ้ายอยากถามข่าวน้อง ว่ามีผัวแล้วหรือบ่ หรือว่ามีแต่ชู้ ผัวสิซ้อนหากบ่มี
           (หญิง) ..... น้องนี้ปอดอ้อยซ้อยเสมอดังตองตัด ผัดแต่เป็นหญิงมา บ่มีชายมาเกี้ยว ผัดแต่สอนลอนขึ้น บ่มีเครือสิเกี้ยวพุ่ม ผัดแต่เป็นพุ่มไม้เครือสิเกี้ยวกะบ่มี

"พี่น้องเอย เพิ่นว่าเมืองอีสานนี่ดินดำน้ำซุ่ม   ปลากุ่มบ้อนคือแข้แกว่งหาง
ปลานางบ้อนคือขางฟ้าลั่น                       จั๊กจั่นฮ้องคือฆ้องลั่นยาม
คนมีศีล ดินมีน้ำ บ่ห่อนขาดเขินบก              ฝูงหมู่สกุณานก บินซวนซมปลายไม้
ไทเมืองไกล เมืองใกล้ ไปมาได้จอดแว้           น้ำใจหลายดีแท้น้อ หมู่เฮาซาวอีสาน ซั่นแล้ว"

คันเจ้าได้ขี่ซ่าง อย่าลืมหมู่หมูหมา   ห่าขโมยมาลัก สิเห่าหอนให้มันย่าน
ลางเทือกวงฟานเต้น นำดงสิได้ไล่   ลางเทือได้ต่อนสิ้น ยังสิได้อ่าวคุณ...อยู่เด้

"อย่าสุไลลืมทิ้มพงศ์พันธุ์พี่น้องเก่า    อย่าสุละเซื้อเหง้าหาญ้องผู้อื่นดี
          เพิ่นว่าไทไกลนี้เจงเลงน้ำแจ่วข่า       บ่ท่อใสจิ่งหลิ่งไทใกล้น้ำแจ่วขิ่ง
          เพิ่นว่าสิ่งของนี้บ่ขัดสีปัดเป่า            อีกบ่โดนกะสิเศร้าเสียค่าของแพง
          ให้ค่อยแหย่งเอาไว้ของไทเฮาซาวอีสาน    ฮีตเก่าของโบราณอย่าพาลข้ามทิ้มเสีย ซั่นแล้ว"

ใจประสงค์สร้างกลางดงกะหว่าถ่ง ใจขี้คร้านกลางบ้านกะหว่าดง

นอนคนกล้ำฝันเห็นสะดุงตื่น พอแต่ลุกล้างหน้าคึดฮอดเจ้าอยู่บ่ลืมแท้หน่อ


คำสอยหรือความสอย
ความเป็นมาของความสอย
ความสอยเป็นมุขตลกนอกเวที ความสอยนี้จะใช้กันในเวลาฟังลำ โดยเฉพาะในจังหวะเดินกลอนและร่ายลำที่เร้าใจที่สุด ความสอยนี้นิยมใช้กับหมอลำเท่านั้น ไม่ปรากฏว่ามีการใช้กับการบันเทิงประเภทอื่น เหมือนการแถมสมภารมักจะใช้ขณะที่พระเทศน์ด้วยเสียงไพเราะเท่านั้น
ความสอยนี้ไม่มีหลักฐานว่าเกิดขึ้นที่ไหน เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด และเกิดขึ้นกับชนเผ่าใด จากการสันนิษฐานตามรูปการณ์ของมัน ก็พอจะเห็นได้ว่า มันเกิดขึ้นจากลุ่มแม่น้ำฮวงโหแยงซีเจียง เป็นเวลาหลายพันปีมาแล้ว เกิดกับชนชาติเผ่าอ้ายลาว และเกิดเวลามีอารมณ์สนุกตอนฟังลำเท่านั้น ฟังอย่างอื่นไม่เห็นมีสอยและชนชาติที่สอยได้ ก็คือชนชาติอ้ายลาวเท่านั้น
ความสอยนั้น ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็สอยได้ คนที่สอยได้นั้นจะต้องเป็นคนฉลาดและมีไหวพริบ และมีปฏิภาณดี ความสอยเป็นสำนวนคล้องจอง ใช้หลายภาษาสลับกันได้ แต่ที่เห็นใช้เป็นหลักอยู่ก็คือภาษาไทยอีสาน และมีภาษาไทยกลางบ้าง แต่ก็ใช้เป็นภาษาประกอบเท่านั้น
สอย เป็นวรรณกรรมมุขปาฐะ ที่แฝงไปด้วยอารมณ์ขันของคนอีสาน สร้างให้เกิดความสนุกสนาน วรรณกรรมคำสอยมีความเป็นมาพร้อมๆ กับหมอลำกลอน ในปัจจุบันมีคนนำมาใช้กับหมอลำคู่และหมอลำเพลินด้วย ด้วยความมีอิสระเสรีในการสอย แม้คำสอยส่วนมากจะเน้นหนักในเรื่องทางเพศ แต่ชาวบ้านเขาไม่ถือสากัน กลับเห็นเป็นเรื่องขำขันและสนุกสนานมากกว่า คล้ายคลึงกับกลอนเพอะนั่นเอง .........วรรณกรรมคำสอยแยกออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้
คำสอยที่เป็นภาษิตคำคม
คำสอยประเภทนี้จะมีคติสอนใจแฝงไว้ด้วยความเป็นจริงและสะท้อนให้เห็นชีวิตและความเป็นอยู่ ตลอดจนพฤติกรรมของมนุษย์ในแต่ละชุมชน มีทั้งประเภทที่เป็นคำกลอนสุภาพ และไม่สุภาพ เช่น
สอย... สอย... เฒ่าสิตายขี่ยายคันฮั้ว ยามมื้อเช้าตู่ลูกตู่หลาน
(แก่แล้วยังไม่ยอมรับผิด)
สอย... สอย... เฒ่าสิตายปีนขึ้นต้นหมาก เหลียวเบิ่งดาก ว่าแม่นครกตำหมื่อ
(คนแก่ไม่รู้จักประเมินสถานภาพของตนเอง)
สอย... สอย... สาวส่ำน้อยอยากได้ผัวครู เหลียวเบิ่งฮูบ่ล้างจักเทื่อ
(เป็นการล้อเลียนหญิงวัยรุ่นที่อยากได้สามีที่มีเกียรติ แต่ไม่ปรับปรุงตัวเองให้ดี)
สอย... สอย... สาวส่ำน้อยอยากได้ผัวดี เหลียวเบิ่งหีบ่ล้างจักเทื่อ
(เช่นเดียวกับคำสอยข้างบน แต่ล้อเลียนหนักไปหน่อย)
สอย... สอย... เฒ่าสิตายบ่ฮู้จักควม ห่มผ้านวมสี้กันอยู่จ๊ะจ๊ะ
(ล้อเลียนคนแก่ที่มักมากในกามตัณหา)
คำสอยทั่วไป
คำสอยประเภทนี้เป็นคำสอยที่เหน็บแนม ประชดประชันและเสียดสีสภาพความเป็นอยู่ และพฤติกรรมของสังคม ตลอดจนบุคคลทุกรุ่นทุกวัย เพื่อความสนุกสนานเพื่อสร้างอารมณ์ขัน ทั้งยังเป็นแนวคิดแก่คนในชุมชนนั้น ๆ ด้วย คำสอยประเภทนี้แยกได้ดังนี้
คำสอยที่เกี่ยวกับสตรี เป็นคำสอยที่นิยมสอยกันอย่างแพร่หลายมาก ซึ่งผู้ฟังมักจะ ได้ยินได้ฟังบ่อย ๆ ซึ่งยังอาจแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ คำสอยเกี่ยวกับสตรีวัยรุ่น จะกล่าวเสียดสีถึงความไม่ประสีประสา หรือความอ่อน ต่อโลกของหญิงวัยรุ่น เป็นทำนองให้คติเตือนใจและประชดประชันมากกว่า การสอยจะมีคำว่า "สาวส่ำน้อย" ต่อจากคำ สอย... สอย... คำสอยเกี่ยวกับสตรีทั่วไป และ   คำสอยเกี่ยวกับสตรีวัยสูงอายุ เป็นคำสอยเสียดสีประชดประชันหญิงสูงอายุ เป็น การให้แง่คิดหรือเตือนสติ มิใช่เป็นการพูดที่ขาดความเคารพนับถือแต่ประการใด ส่วนมากมุ่งเน้น เพื่อความขบขันและสนุกสนานเท่านั้น
สอย... สอย... สาวส่ำน้อยอยากได้ผัวแพทย์ เหลียวเบิ่งหีอมแตดจู่หลู่
(เป็นการเปรียบเปรยหญิงที่อยากเจริญก้าวหน้าในชีวิต แต่ไม่พัฒนาตัวเอง)
สอย... สอย... นกแตดแต้บินข้ามปลายตาล ไผได้ผัวทหารผู้นั้นฮักซาติ
(ล้อเลียนหญิงสาวที่มีคู่รักถูกเกณฑ์เป็นทหาร)
สอย... สอย... นกขุ่มหลี่สี้นกกด สาวนั่งตดแตดโงโล่งโค่ง
(ล้อเลียนการไม่รู้จักสำรวมในการนั่งของหญิงสาว)
สอย... สอย... นกแตดแต้บินข้วมทางรถ สาวนอนตดหีหมอยเพิงเวิ้บ
(การไม่ระมัดระวังในการนอนของหญิงสาว)
สอย... สอย... นกแตดแต้บินข้วมทางเกวียน สาวนักเรียนสี้ครูประจำชั้น คันบ่เฮ็ดจั่งซั้นสิบ่ได้คะแนน
(การประพฤติผิดศีลธรรมระหว่างครูกับศิษย์)
สอย... สอย... หัวสิงไคเป็นกอพะยะ ผู้สาวมักพระ ตกนรกอเวจี
(เป็นการเตือนสติให้สาวเกรงกลัวต่อบาป)
สอย... สอย... นกขุ่มหลี่กุมสี้นกเต็น ผู้สาวนอนเว็น หีเหม็นเป็นตาหน่าย
(สอนหญิงสาวไม่ให้เกียจคร้าน)
สอย... สอย... นกแตดแต้บินข่วมปลายสีดา ผู้สาวสูบยาควันออกหน่อแตด
(สอนหญิงไม่ให้กระทำในสิ่งไม่ดี)
สอย... สอย... เฒ่าสิตายไปบายหำผัวว่าแม่นหมกหม่ำ จ้ำลูกจ้ำมันสิสวยโรงเรียน
(เป็นการแสดงถึงความเลอะเลือนของหญิงชรา)
สอย... สอย... เฒ่าสิตายบายโคยผัวว่าแม่นหัวไก่ตี "เสมอแดงสิบบาท" เอาเลยบักแดงลูกแม่
(แสดงความเลอะเลือนและลุ่มหลงในการพนัน)
สอย... สอย... เฒ่าสิตายตกโพนหมากพริก ลุกขึ้นได้แตดแข็งยิกยิก
(คนแก่แล้วไม่รู้จักเจียมสังขาร)
คำสอยที่เกี่ยวกับบุรุษ
คำสอยมักจะเกี่ยวข้องกับเพศหญิงเสียเป็นส่วนมาก อาจ เป็นเพราะหมอสอยผู้ชายมีมากกว่าผู้หญิงก็ได้ หรือเพศหญิงเป็นเพศที่สงบเสงี่ยม คำสอยที่ เกี่ยวกับผู้ชายก็มีไม่น้อย ซึ่งแยกได้ดังนี้
คำสอยเกี่ยวกับหนุ่มวัยรุ่น คำสอยประเภทนี้แสดงให้เห็นถึงความคิดของคนหนุ่ม ที่มีต่อสภาพของสังคมท้องถิ่น หรือพฤติกรรมต่าง ๆ ของคนในชุมชนที่เขามีส่วนเกี่ยวข้อง
คำสอยเกี่ยวกับชายสูงอายุ คำสอยประเภทนี้มีลักษณะคล้ายหญิงสูงอายุ กล่าวคือ เป็นคำสอยเสียดสีประชดประชันหรือล้อเลียนความไม่สมประกอบของคนแก่ เช่น ความเลอะเลือน ขี้หลงขี้ลืม เป็นต้น
สอย... สอย... นกขุ่มหลี่สี้นกขุ่มหลี่ คนอยู่นี่อยากสี้กันหมด
(ทัศนคติของคนหนุ่มที่มีต่อเรื่องเพศ)
สอย... สอย... นกขุ่มหลี่สี้นกขุ่มลัน ผู้เฒ่าสี้กันทั้งเด้าทั้งตด
(คนหนุ่มมองคนแก่ในเรื่องเพศเป็นเรื่องขบขัน)
สอย... สอย... นกแตดแต้บินข้วมปลายบก ฝนบ่ตกหัวล้านแตกเขิบ
(เป็นการเสียดสีหรือกระแนะกระแหนคนที่ศีรษะล้าน)
สอย... สอย... เฒ่าสิตายบ่ฮู้จักศีลห้า บาดห่าเมียเอานมฟาดหน้า... อามะภันเต
(กระแนะกระแหนคนแก่ที่ไม่รู้จักการเข้าวัดฟังธรรม)
คำสอยสมัยใหม่
คำสอยที่พัฒนาขึ้นมาให้เข้ากับเหตุการณ์ปัจจุบัน ซึ่งสื่อมวลชน มีอิทธิพลเข้ามาในสังคมไทยอย่างรวดเร็ว วรรณกรรมคำสอยเป็นวรรณกรรมมุขปาฐะ ย่อมมีการ พัฒนาตามไปด้วย
สอย... สอย... สาวส่ำน้อยบ่ฮู้จักเหยี่ยวถลาลม บัดเขาขึ้นโคม ช่วยด้วยพี่หลี่ถัง
สอย... สอย... สาวส่ำน้อยบ่ฮู้จักสรพงษ์ บัดเขาฮูดซิบลง นี่หรือดำอำมหิต
สอย... สอย... สาวส่ำน้อยบ่ฮู้จักเป๊บซี่ บัดห่าโคยเข้าหี ... เป๊บซี่ดีที่สุด
สอย... สอย... สาวส่ำน้อยบ่ฮูจักแล็คตาซอย บัดเขาดึงหมอย อาหารเสริมสำหรับคุณ
สอย... สอย... สาวเอกภาษาไทยบ่ฮู้จักกาพย์กลอน บัดเขาจับไปตอน นี่หรือสัมผัสนอกสัมผัสใน
สอย... สอย... สาวเอกภูมิศาสตร์บ่ฮู้จักแผนที่ บัดถืกโคยเข้าหี นี่หรือคืออ่าวไทย
สอย... สอย... สาวเอกอังกฤษบ่ฮู้จัก เอ บี ซี บัดห่าถืกเขาสี้ Do it again เด้ออ้าย
สอย... สอย... สาวนักเรียนบ่ฮู้จักนายกรัฐมนตรี บัดถืกโคยเข้าหี นายกชวนส่อยข่อยแหน่
สอย... สอย... เฒ่าสิตายบายของผัว ว่าแม่นสาวโทรเลข เคาะโปีกเป๊กกลับอุบลด่วน
สอย... สอย... เฒ่าสิตายบ่ฮู้จักศีลแปด ไม้แทงแตด อาระหังสัมมา
นิทานก้อม
นิทานก้อม นิทานขนาดสั้น กะทัดรัด ก็เลยเรียก นิทานก้อม ซึ่งเป็นนิทานประเภทตลกขบขัน หรือนิทานขำขัน นิทานก้อม ทุกเรื่องจะมีมุขตลกอยู่ด้วยตลอด โดยมากมุขตลกมักจะอยู่ตอนใกล้จบ พอเล่าถึงมุขตลก นิทานก็จบพอดี นิทานก้อม เป็นนิทานเรียกเสียงฮา เสียงหัวเราะได้ดีทีเดียว โดยมาก มักเล่ากันเมื่อมีคนฟังเยอะๆ เช่น เมื่อทำงานร่วมกัน เมื่อกินข้าวร่วมกัน หรือเมื่อนั่งชุมนุมจับกลุ่มกันตอนเย็น เป็นต้น
         
นิทานก้อม ในแต่ละที่ แต่ละแห่ง ก็จะมีเรื่องขำๆ เปิ่นๆ แตกต่างกันไปนิทานก้อม ส่วนมากจะเป็นเรื่องเล่าที่มาจากทางภาคอีสานซะส่วนใหญ่ และจึงใคร่ขอให้ท่านทั้งหลาย ช่วยกันเล่า นิทานก้อม เพื่อบันทึกเป็นข้อมูลเก็บไว้ เพื่อให้คนทั่วไปได้อ่านและนำไปเล่าต่อเป็นการอนุรักษ์มรดกนิทานก้อม ไว้ เช่น เรื่องนิทานก้อมต่าง ๆ  โดย  สี คัน โซ่ (เป็นผู้นำมาเสนอให้ผู้ชมผู้ฟังมากที่สุดในปัจจุบัน)
เพลงพื้นบ้าน
เพลงพื้นบ้าน (Folk Song) คือเพลงของท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่งและเป็นที่รู้จักกันดีเฉพาะถิ่นนั้นๆลีลาการขับร้องหรือการฟ้อนรำจึงมีอิสระทั้งในด้านรูปแบบและเนื้อหาจึงเป็นที่นิยมของชาวบ้าน ด้วยสาเหตุที่เพลงพื้นบ้านใช้ภาษาถิ่นใช้ทำนองสนุก จังหวะเร้าใจ เนื้อหาถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด อุดมการณ์ความเป็นอยู่และภูมิปัญญาชาวบ้าน
เพลงเซิ้งแหย่ไข่มดแดง


เพลงเซิ้งต่างๆเป็นเพลงที่ใช้ร้องประกอบพิธีตามความเชื่อของชาวอีสาน เช่น เพลงเซิ้งบั้งไฟ เซิ้งนางแมว   ฯลฯ
          เพลงร้องเพื่อความสนุกสนานเป็นเพลงร้องเล่นสำหรับหนุ่มสาวหรือผู้ใหญ่ร้องเพื่อความสนุกสนานในงานเทศกาลหรือวาระพิเศษ เช่น งานสงกรานต์ ผ้าป่า กฐิน งานบวชนาค ได้แก่หมอลำหรือการลำแบบต่างๆ
1.   หมอลำพื้นคือ หมอลำเป็นชายที่ลำเกี่ยวกับเรื่องนิทานต่างๆ
2.     หมอลำกลอนคือ หมอลำชายหญิงที่ลำเกี่ยวกับเรื่องราวของความรักโต้ตอบกัน
3.      หมอลำหมู่เป็นกลุ่มของหมอลำที่ลำเป็นเรื่อง และใช้ทำนองเศร้า
4.      หมอลำเพลินเป็นคณะหมอลำที่ลำเรื่องใช้ทำนองสนุกสนาน
หมอลำผีฟ้าคือ การลำรักษาคนเจ็บไข้ ซึ่งเราจัดอยู่ในกลุ่มของเพลงพิธีกรรม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น